เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก

(คปอ.)

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พลังมวลชนเดินเท้าจากระยองเข้ากรุงเทพฯ 5 วัน หยุด ! อุตสาหกรรมมาบตาพุด

ขบวนธรรมยาตรา เดินตามรอยเท้าพ่อ ถามหาความพอเพียง

ชาวระยอง นำโดย นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เดินเท้าเข้ากรุงเทพตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. เพื่อเรียกร้องให้หยุดการขยายอุตสาหกรรม ที่เป็นกระแสในขณะนี้ เรื่องของ 76 โครงการที่ได้มีการอุธรณ์ โดยภาครัฐและเอกชน ที่ไม่คำนึงถึงประชาชน



การต่อสู้ที่ถอยไม่ได้ สู้ด้วยชีวิตเพื่อให้ชีวิตคนระยองและคนภาคตะวันออกได้มีโอกาสยืนยาวได้กว่านี้ เพื่อไม่ให้ในอนาคตต้องมารับกรรมด้านสุขภาพที่ร้ายแรง โดยที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ “รัฐบาลรู้ดีว่าชาวระยองทำเพราะเราได้รับความเดือนร้อนจริง ๆ นายกรู้ว่าชาวระยองแท้จริงแล้วต้องการอะไร แต่กลับถามเราหลังจากเราเดินเท้ามาแล้วได้ 2 วัน ว่าจะให้นายกและรัฐบาลทำอย่างไร”

(24 ต.ค.52) เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ร่วมกับกลุ่มชาวบ้าน จ.ระยอง นัดร่วมกันเดินขบวนธรรมยาตรา “เดินตามรอยเท้าพ่อ ถามหาความพอเพียง” จากหน้าวัดลุ่มมหาชัยชุมพล จังหวัดระยอง ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2552 เวลา 9.00 น. มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท เพื่อเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติหน้าที่ โดยให้ความเป็นธรรมต่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรม ให้ความเป็นธรรมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับคน ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา พร้อมเรียกร้องให้หยุดเข้าข้างนายทุน หยุดอ้างเหตุผลว่าทำเพื่อเศรษฐกิจของชาติ แต่กลับทำเพื่อผลกำไรของตนเอง และพวกพ้อง ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 วัน ในการเดินทางจาก จ.ระยอง ถึงจุดหมายที่กรุงเทพมหานคร


การเดินขบวนธรรมยาตราครั้งนี้ ระบุเหตุผลถึงการที่รัฐบาลได้มีมติให้ขยายการลงทุนทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในพื้นที่ จ.ระยอง และภาคตะวันออก จำนวนหลายโครงการ โดยอ้างคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการกฤษฎีกาที่ชี้ขาดว่า ดำเนินการได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 67 จึงทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น ขณะที่ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ชาวระยองและชาวภาคตะวันออกประสบอยู่ถึงขั้นวิกฤต รวมถึงปัญหาทางด้านสุขภาพที่กำลังระบาดอย่างมากในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ โดยไม่มีมาตรการแก้ไขให้ประชาชนที่ประสบปัญหาอยู่อย่างเป็นรูปธรรม มิหนำซ้ำยังปล่อยปะละเลยและไม่ได้สนใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน กลับส่งเสริม สนับสนุน และปกป้องโรงงานอุตสาหกรรม โดยอ้างเพียงเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ มาโดยตลอด ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า เศรษฐกิจของชาติ หรือ ผลกำไรของพวกพ้องตนเอง ต้องบอกความจริงสู่สังคม

“รัฐบาลและประชาชนทั้งชาติ ควรหันมาตั้งสติ ใช้ปัญญา และควรกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศร่วมกัน ภายใต้การพัฒนาประเทศด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความยั่งยืน และความสุขมวลรวมของคนในชาติร่วมกัน ตามกระแสพระราชดำรัสขององค์ท่าน ที่เราคนไทยทุกคนพึงยึดถือปฏิบัติอย่างจริงจังกันซะที” กลุ่มชาวบ้าน จ.ระยอง ระบุในจดหมายที่ส่งชี้แจงถึงสื่อมวลชน



ขบวนธรรมยาตรา

เดินตามรอยเท้าพ่อ ถามหาความพอเพียง



จากการที่รัฐบาลได้มีมติให้ขยายการลงทุนทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในพื้นที่ จังหวัดระยอง และภาคตะวันออก จำนวนหลายโครงการด้วยกัน โดยอ้างคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ชี้ขาดว่า ดำเนินการได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 67 แต่เพียงใด จึงทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น ระหว่าง ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ชาวระยองและชาวภาคตะวันออกประสบอยู่ ถึงขั้นวิกฤต รวมถึงปัญหาทางด้านสุขภาพที่กำลังระบาดอย่างมากในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ โดยไม่มีมาตรการแก้ไขให้ประชาชนที่ประสบปัญหาอยู่ อย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังปล่อยปะละเลยและมิได้สนใจ ต่อความเดือดร้อนของประชาชนเลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับส่งเสริม สนับสนุน และปกป้องโรงงานอุตสาหกรรมมาโดยตลอด อ้างเพียงเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นข้ออ้างของทุกรัฐบาล



จากผลของคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เสนอแนะต่อรัฐบาล พบว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่วินิจฉัยข้อกฎหมายต่อรัฐบาล มี 3 คน ในคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นกรรมการของบริษัทขนาดใหญ่ ที่เตรียมการลงทุนในมาบตาพุด จังหวัดระยอง และภาคตะวันออก จึงตีความกฎหมายเพื่อเข้าข้างและเอื้อต่อผลประโยชน์ของบริษัทที่ตนเป็นกรรมการอยู่ จึงถือเป็นการที่ ตีความทางกฎหมายที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่อย่างใด เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ถือเป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยมิชอบ แต่รัฐบาลกลับรับฟังการวินิจฉัยข้อกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา และนำมาสู่การเตรียม การปฏิบัติ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ประชาชนคนไทยทุกคน ต้องถือปฏิบัติ



ประชาชนชาวระยอง จึงได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง ศาลก็มีคำสั่งให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจต่อคำสั่งศาล สั่งการให้อัยการสูงสุด อุทธรณ์คดี อ้างเหตุผล เรื่องเศรษฐกิจ เช่นเดิม เหมือนที่เคยอ้างมาโดยตลอด และพยายามหาวิธีการที่เอื้อต่อนายทุน โดยไม่พยายามจะดำเนินการบริหารราชการแผ่นดิน ให้สอดคล้องกับหลักกฎหมาย และไม่ปฏิบัติให้ตรงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ใช้วิธีการอำพรางในหลายรูปแบบ ไม่สนใจต่อความเดือนร้อนของประชาชน



ไม่รับฟังเสียงของประชาชนแต่อย่างใด ไม่สนใจข้อเสนอขององค์กร อิสระ ตามรัฐธรรมนูญที่เคยเสนอต่อรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , กรรมาธิการชุดต่าง ๆ ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา รวมถึงนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง และศาลปกครองแต่อย่างใดเลย ยังดึงดันเอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน เพื่อ ลงทุนทางอุตสาหกรรม กอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างปัญหาทางด้านสุขภาพให้กับประชาชน ในภาคตะวันออก ตลอดมา



และจากการตรวจสอบพบว่า นายทุนยักษ์ใหญ่ ที่มาลงทุนทางอุตสาหกรรม ในภาคตะวันออกมีทั้งนักการเมือง , ข้าราชการระดับสูง, นายธนาคาร และคนมีชื่อเสียงหลายคน มีหุ้นเป็นกรรมการอยู่เกือบทั้งสิน ถือเป็นการรวมหัวกัน เพื่อกอบโกยทำกำไร โดยไม่ใส่ใจต่อความทุกข์ของประชาชนเลย แม้แต่นิดเดียว อ้างเหตุผลเดิม ๆ คือ เพื่อเศรษฐกิจของประเทศ



ต้องตั้งคำถามว่า เศรษฐกิจของชาติ หรือ ผลกำไรของพวกพ้องตนเอง ต้องบอกความจริงสู่สังคม



ขบวนธรรมยาตรา เดินตามรอบเท้าพ่อ ถามหาความพอเพียง เรียกร้องให้รัฐธรรมนูญปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติหน้าที่ ทุกประการ ให้ความเป็นธรรมต่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จากการพัฒนาอุตสาหกรรม ให้ความเป็นธรรมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับคนซึ่งถือว่า คน คือ ศูนย์กลางของการพัฒนา หยุดเข้าข้างนายทุน ที่คอยแต่กอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม หยุดอ้างเหตุผลว่าทำเพื่อเศรษฐกิจของชาติ แต่กลับทำเพื่อผลกำไรของตนเอง และพวกพ้อง



รัฐบาลและประชาชนทั้งชาติ ควรหันมาตั้งสติ ใช้ปัญญา และควรกำหนด นโยบายการพัฒนาประเทศร่วมกัน ภายใต้การพัฒนาประเทศด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความยั่งยืน และความสุขมวลรวมของคนในชาติร่วมกัน ตามกระแสพระราชดำรัสขององค์ท่าน ที่เราคนไทยทุกคนพึงยึดถือปฏิบัติอย่างจริงจังกันซะที



พวกเราชาวระยอง จะร่วมกันเดินขบวนธรรมยาตรา

จากหน้าวัดลุ่ม ฯ จังหวัดระยอง ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.

มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยใช้เส้นทาง ถนนสุขุมวิท

ใช้เวลาประมาณ 5 วัน จาก จังหวัดระยอง ถึงจุดหมายที่ กรุงเทพมหานคร

เดินตามรอยเท้าพ่อ ถามหาความพอเพียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น